ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 เมื่อโลกรอบตัวผมเงียบงันด้วยความหวาดกลัวและความเศร้าโศก ผมรู้สึกราวกับว่าได้หลุดพ้นไปจากความเป็นจริง ความหลงใหลในการถ่ายภาพได้ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของผมขึ้นมา สิ่งนี้ก่อร่างขึ้นจากการที่ได้ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระผ่านถนนที่คับคั่งและความแออัดของเมืองทั้งใกล้และไกล โดยการจับภาพความเป็นจริงผ่านการสังเกตอย่างใกล้ชิด
เมื่อเมฆหมอกของโรค COVID-19 แผ่ขยายปกคลุมไปทั่วโลก ผมเกิดความรู้สึกสับสน มึนงง และมองไม่เห็นทางออก จนเมื่อผมรู้สึกคุ้นเคยกับความแปลกประหลาดที่เกิดจากการล็อคดาวน์แล้วผมก็เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของโลกหรือไม่
ไอน์สไตน์อธิบายสภาพความเป็นจริงว่าเป็นภาพลวงตาที่คงอยู่ เขาได้เขียนข้อความเหล่านี้ลงในจดหมายเพื่อเป็นการแสดงความไว้อาลัยแก่เพื่อนสนิทของเขาต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ซึ่งเป็นเวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะเสียชีวิต มันเป็นการใคร่ครวญเรื่องชีวิตและความตาย เขาได้พิจารณาความคิดที่ว่าถึงแม้เราจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิ่งใดมีอยู่จริงนอกเหนือจิตใจแต่เราก็ยังคงเชื่อในภาพลวงตาของเราเอง
เมื่ออัตตาของเราจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในชีวิตของตัวเอง เราต่างก็ใช้บทบาทที่เราเป็นเพื่อกำหนดกรอบความเป็นจริงของเราขึ้นมาเอง โลดแล่นเข้าสู่สภาวะความฝันแห่งการยอมรับ วันหนึ่งหลอมรวมผสมผสานเป็นอีกวันหนึ่งราวกับว่าเราตกอยู่ในภวังค์ จะมีอะไรเหลืออยู่เมื่อเรื่องราวนั้นถูกขัดจังหวะอย่างรุนแรงและความแน่นอนของเราแตกสลายและหายไป? เราสามารถค้นพบความจริงอะไรท่ามกลางซากปรักหักพังของความเป็นจริงที่แตกสลาย
ความแน่นอนเกี่ยวกับความเป็นจริงในชีวิตของเราให้ความรู้สึกสบายและปลอดภัยสำหรับพวกเราบางคน แต่ถ้าโฟกัสของเราแคบเกินไป การมองผ่านอุโมงค์ทัศนวิสัยของเราอาจทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นไปได้ของบริเวณรอบนอก คนอื่นๆ อาจถือว่าความคิดที่ว่าโลกของเราคงที่และเป็นนิรันดร์เป็นเหมือนกับดักที่ผ่านเข้าไปไม่ได้ด้วยความคิดและความรู้สึกในเชิงลบที่จำกัดและบีบคั้นเรา
ดังนั้น บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเราทุกคนที่จะใช้โอกาสนี้ในการหยุด – ในช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่า – และประเมินสุขภาพจิตของตัวเราเอง เราสามารถเติมเชื้อไฟและตรองดูความรู้สึกของตัวเองได้ไหม? บางทีการไตร่ตรองอย่างรอบคอบนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้เราตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของเราได้อย่างชัดเจนและเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดครั้งต่อไปได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเราสัมผัสถึงธรรมชาติของปัจจุบันขณะนั้นโดยตรง เราจะสามารถเคลื่อนตัวออกนอกภาพลวงตาโดยอยู่เหนือความรู้สึกว่าถูกขับเคลื่อนไปตามสถานการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราอาจเดินออกจากความฝันได้อย่างมีสติ ไม่ใช่คนที่ได้แต่รู้สึกเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป
การตระหนักถึงภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นสำหรับตัวเราเองเป็นขั้นตอนสำคัญบนเส้นทางสู่การตรัสรู้ตามคำสอนของศาสนาพุทธ การปล่อยวางให้ภาพลวงตาเหล่านี้ทำให้เรามีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น มีสติมากขึ้น และเต็มที่มากขึ้น
เราอาจเปิดกว้างมากขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงที่เราเคยกลัวหรือรู้สึกว่าเกินความสามารถของเรา ความโกลาหลที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วแสดงให้เราเห็นว่าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราได้เสมอไป อย่างไรก็ตาม เราอาจเลือกได้ว่าเราจะตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างไร ชีวิตในอนาคตของเราจะถูกกำหนดโดยวิธีที่เราสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง
พระพุทธเจ้าทรงเตือนเราถึงความจริงข้อนี้ว่า "สรรพสิ่งล้วนเป็นมายา เป็นการคาดคะเนของจิตที่ฉายภาพจินตนาการสู่ความเป็นจริง".
เมื่อจิตของคุณปราศจากภาพลวงตา ผมหวังว่าคุณจะสามารถค้นพบความสงบภายในและความจริงแท้ในชีวิตและความเป็นจริงของตัวเอง